วิเคราะห์ความสำเร็จของสิงคโปร์ เมืองอัจฉริยะอันดับ 1 ของโลก

Share

Loading

Smart City หรือเมืองอัจฉริยะถือเป็นคำที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีใน พ.ศ. นี้ ซึ่งถือเป็นกระแสการพัฒนาที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของ IMD หรือ สถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาการบริหาร ซึ่งได้ทำการสำรวจผลลัพธ์ของการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาวิถีชีวิติของประชากร และได้มีการเผยแพร่รายงานอันดับเมืองฉลาดที่สุดของโลกในปี 2563 (Smart City Index 2020) ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างไม่ต่ำกว่า 13,000 คน ใน 109 ประเทศทั่วโลก ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2563 พบว่า…

เมืองอัจฉริยะอันดับ 1 – 10 มีรายนามดังต่อไปนี้

  1. สิงคโปร์ (รั้งอันดับ 1 เป็นสมัยที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว)
  2. เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
  3. ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  4. โอ๊กแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
  5. ออสโล ประเทศนอร์เวย์
  6. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
  7. เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
  8. ไทเป ซิตี้ ประเทศไต้หวัน
  9. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
  10. นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ส่วน กทม. เมืองหลวงของประเทศไทย จัดอยู่อันดับที่ 71 ขยับขึ้นมาจากปีที่แล้ว 4 อันดับ

ซึ่งจากรายงานดังกล่าวพบว่าสิงคโปร์ แม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่กลับสามารถที่จะสร้างเมืองได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยสามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จได้ด้วยปัจจัย ดังนี้

1. วิสัยทัศน์และการต่อยอด

ในอดีตปี พ.ศ.2506 สิงคโปร์ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ลีกวนยู ได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งมั่นพัฒนาให้เมืองเติบโตไปในทิศทางของ Garden City โดยการสร้างภูมิทัศน์ต่าง ๆ ให้เป็นเมืองในสวน จึงได้มีการปลูกต้นไม้ทั้งเกาะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จ จากนั้นนายลีกวนยู ก็ได้วางเป้าหมายต่อไปคือการพัฒนาสิงคโปร์ไปสู่การเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย น่าเที่ยว และน่าลงทุน

โดยในปี 2557 ท่ามกลางกระแส Internet of Things ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ประธานาธิบดีลีเซียนลุง ได้ประกาศ “แผนริเริ่ม” (Initiatives) ซึ่งทำให้สิงคโปร์มุ่งสู่การเป็นประเทศแห่งความสมาร์ต  ตัวอย่างเช่น แผนริเริ่มแถบและเส้นทาง (Belt Road Initiative: BRI) จากประเทศจีน ซึ่งถือเป็นแผนริเริ่มในการบุกโลกธุรกิจด้วยการพัฒนาการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางสัญจรจากประเทศจีนสู่ประเทศต่างๆ คำว่า Initiatives มีความหมายถึงการริเริ่มซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นสู่ความเป็นประเทศที่ทันสมัย หรือ Smart Nation Initiatives อย่างแท้จริง

2. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ประเทศสิงคโปร์ก็ได้มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและเชื่อมต่อด้านการสื่อสารมาในระยะหนึ่งแล้ว คือตั้งแต่ พ.ศ. 2523- 2532 ซึ่งได้มีแผนงานการให้บริการจากภาครัฐด้วยคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  • พ.ศ. 2535 ก็ได้มียุทธศาสตร์ IT2000
  • พ.ศ. 2553 ก็ได้มีการตั้งเป้า iGov2010
  • พ.ศ. 2557 ได้มีแผนริเริ่ม Smart Nation Initiatives
  • พ.ศ. 2558 จึงได้มีแผนแม่บท eGov คือรัฐอิเล็กทรอนิกส์

ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าสิงคโปร์ไม่ได้พึ่งมีการปรับตัวทางด้านเทคโนโลยี แต่มีวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานด้านเทคโนโลยีมาอย่างยาวนากว่า 30 ปี

3. การเป็นเมืองขนาดเล็กและเสถียรภาพทางด้านการเมือง

แม้ว่าถ้าหากเรามองในด้านการเมืองการปกครองแล้วจะพบว่าสิงคโปร์อาจจะไม่สมบูรณ์แบบในแง่ของการมีประชาธิปไตย แต่ทว่าในแง่ของการมีเสถียรภาพทางการเมืองได้กลายเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่ง เพราะสามารถทำให้นโยบายในการบริหารประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่องและนโยบายในการพัฒนาประเทศก็สอดรับกันมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน รวมถึง ถ้าหากมองในแง่ของการบริหารจัดการเรายังพบว่า เมืองที่มีขนาดเล็กจะได้เปรียบกว่าเมืองที่มีขนาดใหญ่ เพราะสามารถที่จะลงทุนด้านเทคโนโลยีไปแล้วประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง จึงทำให้ผลสำรวจออกมาโดยที่ประชาชนมีความพึงพอใจ เพราะสามารถได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะอย่างเต็มที่

และทั้งหมดนี้ก็คือบทวิเคราะห์ความสำเร็จของสิงคโปร์ เมืองอัจฉริยะอันดับ 1 ของโลก ซึ่ง Security Systems Magazine นำมาฝากกัน และหากจะว่าไปแล้ว เมืองแต่ละเมืองนั้นมีปูมหลังหรือบริบทอันแตกต่างกัน เราอาจจะไม่สามารถเลียนแบบ หรือยึดเอาเมืองใดเมืองหนึ่งมาเป็นต้นแบบได้ทั้งหมด แต่เราสามารถที่จะศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางการพัฒนาของประเทศนั้น ๆ แล้วนำเอาแนวทางแห่งความสำเร็จมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
www.bangkokbiznews.com

เครดิตรูปภาพ
www.pexels.com

0