Smart Governance ในไทย

Share

Loading

เมืองอัจฉริยะ (Smart City) เป็นแนวคิดหรือแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมือง ในส่วนของประเทศไทย สำนักงานเมืองอัจฉริยะ ภายใต้การกำกับของสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ให้คำจำกัดความของเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ไว้ว่า “เมืองอัจฉริยะ” คือ เมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชน ในการพัฒนาเมืองภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะมีมิติการพัฒนาได้หลายด้าน มีมิติที่สำคัญ 7 ด้านคือ 1) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 2) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 3) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) 4) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) 5) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 6) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) 7) การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) ก่อนที่จะกล่าวถึงเนื้อหาของ Smart Governance ในไทย ลองมาทำความรู้จักกับคำจำกัดความของคำว่า Smart Government กับ คำว่า Smart Governance กันเสียก่อน ซึ่งทั้งสองคำนี้เขียนคล้าย ๆ กัน ทำให้ หลายคนเกิดความสับสน เข้าใจว่าคือคำเดียวกัน ความหมายเดียวกัน

Smart Government

Smart Government หมายถึง การที่หน่วยงานของรัฐ อาจหมายถึง รัฐบาล หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ภายในองค์กรของตนเองเพื่อพัฒนาศักยภาพการให้บริการ รวมไปถึงพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการภายในองค์กร นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐ และเป็นช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นที่ประชาชน องค์กรเอกชน และ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีต่อองค์กรของตน (Gabriela Viale Pereira, Peter Parycek, Enzo Falco and Reinout Kleinhans, 2018, Smart governance in the context of smart cities, 7-12)

Smart Governance

Smart Governance หมายถึง ขีดความสามารถขององค์กร (เป็นได้ทั้งภาครัฐ เอกชน) ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการองค์กรโดยใช้ข้อมูล เช่น ข้อมูลการร้องเรียน ข้อมูลคำร้องขอข้อมูลความคิดเห็นต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อมูลการซื้อขายสินค้า ข้อมูลความผูกพันในองค์กรเป็นต้น และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์หาความต้องการเชิงลึกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อช่วยในการสร้างและดำเนินนโนบายที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียให้ได้มากที่สุด ส่งผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเกิดความรู้สึกร่วมของการเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารงานภายในองค์กรของตน (Gabriela Viale Pereira, Peter Parycek, Enzo Falco and Reinout Kleinhans, 2018, Smart governance in the context of smart cities, 24)

จากคำนิยามข้างต้นจะเห็นว่าการที่จะพัฒนาให้เกิด Smart Governance ได้นั้น จะต้องมีการประยุกต์ใช้ Digital Technology ในองค์กรเสียก่อน กล่าวคือ องค์กรนั้น ๆ จำเป็นจะต้องปฏิรูปตนเองให้กลายเป็นองค์กรที่มีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งในส่วนของคนและตัวองค์กรเอง จึงจะสามารถใช้ข้อมูลจำพวกข้อคิดเห็น ปัญหา การร้องเรียนต่างๆ มาช่วยในการวิเคราะห์ถึงความต้องการที่เกิดขึ้นจริงของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน นำไปสู่การบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากยิ่งขึ้น

Smart Governance ในต่างประเทศ

ณ ตอนนี้ หลาย ๆ ประเทศก็ได้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาพัฒนาทางด้าน Smart Governance กันบ้างแล้วที่แรกที่จะขอกล่าวถึงคือ ฮ่องกง ที่นี่ได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่มีชื่อว่า GovHK ให้บริการสาธารณะ แก่ประชาชนผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งทาง Web Portal และ Mobile Application ครอบคลุมการให้บริการในส่วนของการขอเอกสารทางราชการ การขอใบอนุญาต การใช้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมและบริการการหางานและ การชำระค่าบริการจากภาครัฐ

ประเทศต่อมาคือสิงคโปร์ ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีทางด้าน AI และ IoT มาใช้ในการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้นให้แก่ประชาชน สร้างสังคม ให้น่าอยู่ปลอดภัย การสร้างโอกาสและส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ รวมไปถึงการเชื่อมโยงข้อมูล (Data Connectivity) จากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เช่น สภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน จำนวนประชากร เชื้อชาติ สถิติและตัวเลขทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้จะถูกนำมาบันทึกและประมวลผลบน Big Data Platform โดยที่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เป็นตัวช่วยในการบริหารประเทศ ซึ่งมีเป้าหมาย ในการพัฒนาให้สิงคโปร์เป็น “Smart Nation” หรือ “ประเทศอัจฉริยะ” ด้วยสโลแกนที่ว่า “Connecting Everyone, Everything, Everywhere and All the Time (E3A)” หรือ “เชื่อมต่อทุกคน ทุกสิ่ง ทุกที่ และทุกเวลา”

ประเทศต่อไปเราข้ามไปทางฝั่งยุโรปกันบ้าง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ กรุงอัมสเตอร์ดัมได้เริ่มโครงการ Smart City Amsterdam ในปี ค.ศ. 2006 มีจุดมุ่งหมายในการสร้างเศรษฐกิจ ที่ยั่งยืนและการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งมี Smart Governance เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก มีองค์กรท้องถิ่น City Government Amsterdam ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเมือง เช่น ดูแลงานระบบขนส่งสาธารณะ การจัดเก็บภาษี การใช้ที่ดินและก่อสร้างอาคาร การสาธารณสุข การป้องกันภัยพิบัติ การศึกษา เป็นต้น โดยมีการจัดระบบและกำหนดนโยบายการบริหารจากการปรึกษาหารือระหว่างสภาเมือง นายกเทศมนตรี และ ประชาชนในพื้นที่ มีการสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชนผ่านทาง Smart Citizen Project ด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งร้องรียนทั้งในส่วนของมลพิษทางอากาศ เสียงรบกวน รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภคให้แก่เจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จะเห็นว่าตัวอย่างจากสามประเทศข้างต้นจะมุ้งเน้นไปที่การสร้างช่องทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน อาจรวมไปถึง ภาคธุรกิจและภาคการศึกษา โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน

Smart Governance ในประเทศไทย

Smart Governance เป็น 1 ใน 7 เสาหลักของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยในการพัฒนา Smart Governance ในไทย โครงการส่วนใหญ่จะมาในแนวทางของการพัฒนาองค์กรให้เป็น Smart Government และมีบางโครงการเริ่มมีการจัดสร้างเครือข่ายเพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและเอกชน กล่าวได้ว่าเป็น Smart Government ที่เริ่มมีกลิ่นอายของการเป็น Smart Governance ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่ดีสำหรับการเป็น Smart Governance ในอนาคต

จากการวิเคราะห์เฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Smart Governance ของเมืองอัจฉริยะทั้ง 15 เมือง แสดง ดังรูปที่ 1 โดยที่ 15 เมืองมีแผนดำเนินโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้ง 7 ด้าน รวมกันทั้งหมด 379 โครงการ มีโครงการพัฒนาทางด้าน Smart Governance ทั้งหมด 40 โครงการ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.55 ของโครงการทั้งหมด เมื่อนำข้อมูลของโครงการมาหารูปแบของการให้บริการพบว่าโครงการส่วนใหญ่ถูกออกแบบมา เพื่ออำนวยความสะดวกของประชาชนในที่นี้ขอเรียกว่า Front Office Service ให้บริการในรูปแบบ Web Service, Mobile Application และ Call Center โดยมีเป้าหมายคือ เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการกับภาคประชาชน และนำข้อมูลการใช้บริการมาปรับปรุงกระบวนภายในขององค์กรให้มีความยืดหยุ่น โปร่งใส ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการบางส่วนที่เน้นเฉพาะการปรับปรุงกระบวนการภายใน (Back Office Service) ทั้งในส่วนของการนำระบบ e-Saraban เข้ามาใช้จัดการเอกสารภายใน หรือ พัฒนาระบบ Online Meeting Platform สำหรับบริหารการประชุมและ Asset Management สำหรับบริหารจัดการครุภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวก ในการติดตามสถานะและปริมาณการใช้งานเป็นต้น ส่วนสุดท้ายเป็นการพัฒนา Data Platform ซึ่งการพัฒนาโครงข่ายสำหรับเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกันผ่านทาง API บน Cloud Service เพื่อนำข้อมูลทั้งหลายมาวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา ความต้องการ รวมไปถึงโอกาสในการลงทุนและนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วเผยแพร่สู่สาธารณะชน ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้จะมีคณะกรรมการด้าน Data Governance มาคอยกำกับดูแล อีกทอดหนึ่งทั้งในส่วนของความปลอดภัย (Cyber Security) ของข้อมูล จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Authorization) และการอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange) ระหว่างหน่วยงาน จากข้อมูลทั้งหมดสามารถสรุป รูปแบบภาพรวมการให้บริการด้าน Smart Governance ได้ตารางที่ 1

รูปที่ 1 รายชื่อของเมืองอัจฉริยะทั้ง 15 เมือง

ตารางที่ 1 สรุปภาพรวมการให้บริการด้าน Smart Governance ของเมืองอัจฉริยะ

ต่อมาจะขอยกตัวอย่างรายละเอียดโครงการบางส่วนที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมการพัฒนาในมิติของ Smart Governance มีรายละเอียดดังนี้

1 แพลตฟอร์มการร้องเรียนปัญหาผ่านทาง Mobile Application (Line Official Account) จุดเด่นของโครงการนี้คือประชาชนสามารถแจ้งปัญหาทางด้านสาธารณูปโภค ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือ ปัญหา อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิภาพการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นโดยตรงผ่านทางหน้าจอมือถือ รวมไปถึงติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเรื่องที่ได้ทำการร้องเรียน ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถใช้ช่องทางนี้ในการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลเกี่ยวกับสาธารณภัยหรือข้อมูลกิจกรรมสำคัญของเมืองไปยังประชาชนในพื้นที่โดยตรง และสามารถนำข้อมูลการร้องเรียนต่าง ๆ ไปวิเคราะห์ว่าพื้นที่ไหนเกิดปัญหาอะไร เกิดบ่อยแค่ไหน หรือ เกิดช่วงไหนเป็นพิเศษ ช่วยให้ผู้ดูแลพื้นที่สามารถออกมาตรการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที ตัวอย่างการทำงานของ Line OA แสดงดังรูปที่ 2

รูปที่ 2 ตัวอย่างการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านทาง Line OA

2 แพลตฟอร์มบริการประชาชนแบบ One Stop Service แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาให้แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ต้องไปรอยื่นเรื่องขอเอกสาร หรือ ดำเนินการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ประชาชนสามารถยื่นเรื่องผ่านทาง Web Portal หรือ Mobile Application ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่สำนักงาน ส่งผลให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยานพาหนะที่ต้องใช้ในการเดินทาง หน่วยงานลดปริมาณการใช้กระดาษลงในกรณีที่มีค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ ประชาชนผู้เข้ามาใช้บริการก็สามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบ e-payment ได้อีกด้วย นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถติดตามความก้าวหน้าของเอกสารได้แบบ Real-time รวมไปถึงเป็นการเพิ่มช่องทางที่ภาครัฐใช้ในการรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต ตัวอย่างการทำงานของแพลตฟอร์มบริการประชาชนแบบ One Stop Service แสดงดังรูปที่ 3

รูปที่ 3 ตัวอย่าง Portal ของการให้บริการประชาชนแบบ One Stop Service

3 E-Saraban ระบบนี้ถูกนำมาใช้กับการจัดการหนังสือราชการภายในและภายนอกหน่วยงาน โดยมีจุดประสงค์ในการลดการใช้กระดาษ ผู้มีอำนาจอนุมัติเอกสารสามารถอนุมัติเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา ผู้ปฏิบัติงานสามารถติดตามความคืบหน้าของการอนุมัติตามลำดับชั้น แสดงดังรูปที่ 4

รูปที่ 4 ตัวอย่างการทำงานของระบบ e-Saraban

4 Intelligence operation center: IOC IOC หรือ ศูนย์สั่งการอัจฉริยะ เป็นระบบที่ใช้ในการติดตาม เฝ้าระวังและบริหารจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ โดยที่ระบบนี้จะทำงานร่วมกับ Cloud Platform ที่ช่วยในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ จากนั้นนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ไปแสดงผลบนหน้าจอ IOC ตัวอย่างของข้อมูลที่นำมาแสดงผล เช่น ข้อมูลคุณภาพอากาศ เชิงพื้นที่ ข้อมูลปริมาณน้ำฝนเชิงพื้นที่ ข้อมูลความถี่ในการร้องเรียนปัญหา ข้อมูลการจราจร ข้อมูลปริมาณการใช้น้ำ ใช้ไฟ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ถูกจุดและทันท่วงที ตัวอย่างของ IOC แสดงดังรูปที่ 5

รูปที่ 5 ตัวอย่างการทำงานของ Intelligence Operation Platform (IOC)

จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประเทศไทยเริ่มมีการผลักดันการนำเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัลมาใช้ในการปฏิรูปองค์กรและใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังเริ่มมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มมิติและความสมบูรณ์ของข้อมูลก่อนนำไปวิเคราะห์เชิงลึกแล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นไปเผยแพร่สู่สาธารณะชน ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอาจทำให้ภาคเอกชนเห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนในพื้นที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น รายได้ของประชาชนในพื้นที่สูงขึ้น อัตราการว่างงานลดลง แต่ในการดำเนินงานข้างต้นยังไม่ถือว่าเป็น Smart Governance อย่างแท้จริง ยังขาดขั้นตอนของการรับฟังเสียงของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน (ภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาคการศึกษา) และนำเสียงเหล่านั้นมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจก่อนออกนโยบายบริหารจัดการภายในท้องถิ่น ถ้าในอนาคตสามารถดำเนินการได้ถึงขั้นนั้นก็จะถือได้ว่าเมืองนั้นเป็นเมืองแห่ง Smart Governance อย่างแท้จริง

แหล่งข้อมูล

https://www.depa.or.th/th/article-view/smart-governance