Kaspersky เปิดคาดการณ์ภัยคุกคาม ปี 2024

Share

Loading

แคสเปอร์สกี้ เผยรายงาน Kaspersky Security Bulletin ซึ่งคาดการณ์ภาพรวมสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปี 2024

อิกอร์ คุซเน็ตซอฟ ผู้อำนวยการทีมวิจัยและวิเคราะห์ระดับโลก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ปี 2023 กระแสการใช้งานเครื่องมือ AI ไม่รอดพ้นสายตาของอาชญากรไซเบอร์ระดับสูง ที่ต้องการสร้างแคมเปญการโจมตีที่มีความซับซ้อนสูง

แคสเปอร์สกี้คาดการณ์ว่า แนวโน้มที่กำลังจะมาถึงจะเป็นมากกว่าการนำ AI เข้ามาใช้ เช่น รูปแบบการโจมตีซัพพลายเชนแบบใหม่ การเกิดของแฮกเกอร์รับจ้างบริการ การหาช่องโหว่ใหม่บนอุปกรณ์ส่วนตัวของผู้ใช้งานทั่วไป และอื่นๆ

ผู้เชี่ยวชาญจากทีมวิจัยและวิเคราะห์ระดับโลกของแคสเปอร์กี้ (Kaspersky Global Research and Analysis Team หรือ GReAT)  คาดการณ์ว่า APT จะโจมตีช่องโหว่ใหม่ๆ ผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ จากนั้นเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านั้นให้เป็นเครือข่ายบ็อตเน็ตของตน รองรับแนวทางการโจมตีแบบซัพพลายเชน และอาศัย AI เพื่อใช้ทำสเปียร์ฟิชชิง (spear-phishing) ที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาการเหล่านี้จะเพิ่มความรุนแรงให้กับการโจมตี และการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่มีแรงจูงใจจากประเด็นทางการเมืองมากยิ่งขึ้น

การปลอมแปลงตัวตนโดยใช้ศักยภาพของ AI การโจมตีบนอุปกรณ์มือถือและบ็อตเน็ตรูปแบบใหม่

เครื่องมือ AI ที่ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ดในปัจจุบันจะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตข้อความสเปียร์ฟิชชิง ที่สามารถเลียนแบบปลอมเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ ผู้โจมตีอาจคิดค้นวิธีการอัตโนมัติโดยการรวบรวมข้อมูลออนไลน์และป้อนให้กับ LLM เพื่อสร้างจดหมายที่มีสำนวนการเขียนของบุคคลที่เหยื่อกำลังติดต่อด้วย

“Operation Triangulation” คือ ปัจจัยที่มาจุดประกายการค้นพบช่องโหว่ใหม่บนอุปกรณ์มือถือ และมีแนวโน้มที่จะหนุนการค้นคว้าเพื่อการโจมตีอุปกรณ์มือถือและอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ โดยใช้ APT มากขึ้น เราจะได้เห็นอาชญากรไซเบอร์ขยายพื้นที่ล่าของตน และเล็งเป้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของเหยื่อผ่านช่องโหว่และมองหาจังหวะฉวยโอกาส “อย่างเงียบกริบ” มากขึ้น

รวมถึงใช้การโจมตีแบบ zero-click ผ่านการส่งข้อความ หรือการโจมตีแบบ one-click โดย SMS และแอปพลิเคชันส่งข้อความสนทนา รวมไปถึงการก่อกวนการจราจรของข้อมูลบนเครือข่าย การดำเนินการป้องกันอุปกรณ์ทั้งขององค์กรและของตนเองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่บนซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันสามัญประจำบ้านที่ใช้กันแพร่หลาย ก็เป็นอีกจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างดี

การค้นพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรง และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างสูงนั้น หลายต่อหลายครั้งก็มีระยะเวลาและข้อมูลอันจำกัดในการค้นคว้า ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นเรื่องที่ล่าช้าตามมาทีหลังความเสียหาย จนกลายเป็นการเปิดช่องทางให้บ็อตเน็ตใหม่ๆ จำนวนมหาศาล หลบหนีการตรวจจับ และแอบเข้าซุ่มโจมตีในแบบระบุเป้าหมายสามารถเล็ดลอดเข้ามาในระบบได้

การเพิ่มขึ้นของการก่อการร้ายไซเบอร์ที่มีภาครัฐหนุนหลัง และกลายเป็นการโจมตีแนวทางใหม่

จำนวนการโจมตีทางไซเบอร์ที่ภาครัฐหนุนหลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า ท่ามกลางความตึงเครียดจากปัญหาภูมิศาสตร์การเมือง การโจมตีมักเป็นการจารกรรมข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที การจารกรรมระยะยาว และการก่อการร้ายทางไซเบอร์

อีกหนึ่งแนวโน้มที่ต้องระมัดระวังคือการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อหวังผลทางการเมือง หรือ hacktivism ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งความตึงเครียดในประเด็นดังกล่าวได้บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่การโจมตีทางไซเบอร์เพื่อหวังผลทางการเมืองนี้จะมีจำนวนสูงขึ้น ทั้งเพื่อกระจายข่าวเท็จและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการสอบสวนที่ไม่จำเป็น เป็นการตัดกำลังของทีมงานนักวิเคราะห์ SOC และนักวิจัยด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

การคาดการณ์สถานการณ์อื่น ๆ ในปี 2024

บริการโจมตีซัพพลายเชนแบบสั่งได้ การเข้าถึงข้อมูลการสั่งซื้อล็อตใหญ่ของผู้ประกอบการ : การโจมตีซัพพลายเชนที่เล็งเป้าไปยังธุรกิจขนาดเล็กเพื่อใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า เช่น กรณีการจารกรรมข้อมูล Okta ในปี 2022 – 2023 ได้เน้นให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของภัยคุกคามประเภทนี้

โดยแรงจูงใจในการโจมตีนั้นสามารถขยายจากเรื่องเงินไปจนถึงการก่อวินาศกรรม ปี 2024 เราอาจได้เห็นการพัฒนารูปแบบใหม่ในดาร์กเว็บที่เข้าถึงตลาดที่เชื่อมโยงกับการโจมตีซัพพลายเชน และก่อให้เกิดการโจมตีครั้งใหญ่ที่มีความรุนแรงและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม

กลุ่มแฮกเกอร์รับจ้างให้บริการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด : บริการแฮกเกอร์รับจ้างกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยแฮกเกอร์เหล่านี้จะให้บริการด้านการจารกรรมข้อมูลหลากหลายระดับ ตั้งแต่การตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลไปจนถึงการล้วงข้อมูลคู่แข่งทางธุรกิจ โดยแนวโน้มธุรกิจดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตขึ้นในปีหน้า

Kernel rootkits กลับมาฮอตฮิตอีกครั้ง : แม้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยอย่าง Kernel Model Code Signing, PatchGuard, HVCI (Hypervisor-Protected Code Integrity) แต่การคุ้มกันที่ทำงานในระดับ kernel code ก็ยังถูกกลุ่ม APT และกลุ่มอาชญากรไซเบอร์เจาะผ่านเข้ามาได้

การโจมตีที่ kernel ของ Windows ด้วยวิธีการเจาะแบบ WHCP กับตลาดใต้ดินที่ทำธุรกิจด้านใบรับรอง EV และการลงทะเบียนโค้ดที่ถูกขโมยนั้นก็มีอัตราการเติบโตอยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นเดียวกัน โดยผู้ก่อภัยคุกคามเหล่านี้ก็กำลังยกระดับแนวทาง BYOVD (Bring Your Own Vulnerable Driver) ให้เป็นยุทธวิธีการจารกรรมของตน

ระบบ Manage File Transfer (MFT) จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีขั้นสูง : ระบบ Manage File Transfer (MFT) ต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กำลังพัฒนา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในปี 2023 กรณีข้อมูลรั่วไหลของ MOVEit และ GoAnywhere

เทรนด์นี้พัฒนาต่อยอดโดยอาชญากรไซเบอร์ที่หมายตาผลกำไรทางการเงินและก่อกวนการดำเนินงาน โดยติดตั้ง MFT ที่ซับซ้อนบนเน็ตเวิร์กที่กว้างขึ้น เพื่อซุ่มรวบรวมข้อมูลจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้องค์กรธุรกิจต้องนำมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มข้นเข้ามาใช้ ได้แก่ การป้องกันข้อมูลสูญหาย (Data Loss Prevention) การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) รวมถึงการส่งเสริมความตระหนักเรื่องการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อให้ระบบ MFT มีความมั่นคงเข้มข้นในการรับมือกับภัยคุกคามที่วิวัฒนาการตัวเองต่อเนื่องเช่นกัน

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1100758