บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) การสร้างความสุขจะนำมาซึ่งผลกำไรที่ยั่งยืน

Share

Loading

บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คือหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย และเทคโนโลยีไอทีครบวงจร ซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อปี 2541 โดยได้ดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและมีการเติบโตเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2547 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย โดยแปรสภาพเป็น บริษัทมหาชน จนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน SiS ถือเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าให้กับแบรนด์สินค้าที่มีมาตรฐานระดับโลกกว่า 70 ราย โดยเป็นกลุ่มสินค้าในหมวด IT และ Security Systems รวมถึงยังมีฐานลูกค้ามากกว่า 4,500 ราย ซึ่งมีทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีก ผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้าให้กับภาคธุรกิจ และราชการ ตลอดจนผู้รับวางระบบ

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี สามารถกล่าวได้ว่า SiS คือองค์กรทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นผู้บุกเบิกสินค้าหลาย ๆ ชนิดให้เป็นที่รู้จักในสังคมไทย รวมถึงยังเป็นบริษัทที่มีระบบการบริหารจัดการองค์กรอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ นั้นก็คือแนวคิด “การสร้างความสุขจะนำมาซึ่งผลกำไรที่ยั่งยืน”

วันนี้ Security Systems Magazine ได้รับเกียรติจากคุณ สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่จะมาบอกเล่าถึงแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความสมดุลระหว่างความสุขและผลกำไร

จุดเริ่มต้นขององค์กรแห่งความสุข

หากมองย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้น อาจกล่าวได้ว่าความสุขคือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง SiS เลยก็ว่าได้ เพราะโดยพื้นฐานคุณสมชัย เป็นคนที่ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีมาก ๆ

“ผมชอบเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก เลยเลือกเรียนทางด้านวิศวะ พอจบมาก็ได้มาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ คืออยู่ในสายงานด้านเทคโนโลยี แถมยังมีงานอดิเรกคือการศึกษาค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก มีความสุขกับสิ่งเหล่านี้ โดยในตอนนั้นก็ยังไม่ได้มองในเรื่องของกำไรหรือขาดทุน แต่เราทำด้วยความสุขจริง ๆ จนกระทั่งต่อมาก็ได้มีโอกาสมาร่วมก่อตั้ง SiS” คุณสมชัยกล่าว

การก่อตั้ง SiS เป็น จุดเริ่มต้น ที่จะต้องทำให้ธุรกิจเกิดความสมดุลทั้งในเรื่องความสุขและผลกำไร…

“เราก็เลยคิดว่า ถ้าได้นำเอาสิ่งดี ๆ ไปให้คนอื่นได้ใช้ แล้วเขาได้รับประโยชน์ เขาก็จะมีความสุข เพราะในยุคนั้นคนจำนวนมากเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง ที่เรามองว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”

จึงเป็นที่มาของความมุ่งมั่นในการนำเอาเทคโนโลยีดี ๆ มานำเสนอ และด้วยความที่สิ่งเหล่านี้เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถศึกษาค้นคว้าได้อย่างลึกซึ้ง “เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพราะเขาจะทำได้มากกว่าคนอื่น ผมศึกษาเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีอย่างมีความสุข อะไรที่ยังไม่มีในประเทศไทยเราก็สรรหาซื้อมาศึกษาก่อนคนอื่น”

เลือก จุดยืน ที่เหมาะสม

“เราก็ถามตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะยืนในจุดไหน เพราะการที่เราเอาเทคโนโลยีมาใช้ มันยืนได้หลายจุด แต่เราจะเลือกยืนในจุดที่มีความเหมาะสมกับตัวตนของเรามากที่สุด สุดท้ายเราก็เลือกที่จะทำงานกับผู้ผลิตซึ่งมีเทคโนโลยีชั้นเลิศ เราจะเข้าไปมีส่วนช่วยในการนำเอาเทคโนโลยีดี ๆ เหล่านั้นมาเผยแพร่ในประเทศไทย”

“ในยุคบุกเบิกนั้นอาจจะมีอุปสรรค์อยู่บ้าง เพราะฝ่ายผู้ผลิตก็มักจะถามว่าคุณมีลูกค้ากี่ราย จะขายได้เยอะไหม ส่วนในฝั่งของลูกค้าก็จะมองว่าสิ่งที่เราเอาไปนำเสนอเขานั้นมันเล็กไป เพราะเรายังมีเทคโนโลยีที่ไปนำเสนอไม่เยอะ แต่สุดท้ายเราก็ยืนอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่าเราทำเพราะรู้สึกชอบ รู้สึกว่าสนุก รู้สึกว่ามีความสุข เราจึงไม่ค่อยคิดมาก และเราก็ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ”

ด้วยความทุ่มเท และการทำงานด้วยความรัก จึงทำให้ SiS สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงในจุดหนึ่งก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเป็นเหตุให้ต้องนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

อีกทั้ง SiS มีการดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักธรรมบาลตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งให้ความสำคัญกับความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะเรื่องของการจัดทำบัญชีและการเสียภาษี จึงทำให้ SiS ได้รับความไว้วางใจ และสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้โดยใช้เวลาไม่ถึงปี

ความสุขของทุกคนคือผลกำไรที่ยั่งยืน

“สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า องค์กรของเรามีเพื่ออะไร ประโยชน์ของการมีเราคืออะไร ซึ่งถ้าเราตอบตรงนี้ได้ เราจะรู้ว่าเป้าหมายของเราว่าคืออะไร”

แน่นอนว่าผลกำไรคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะบริษัทมหาชนซึ่งต้องให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้น แต่สำหรับ SiS แล้ว จะไม่มุ่งไปที่การทำกำไรจนละเลยเรื่องที่สำคัญกว่า นั้นก็คือการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นสำหรับทุกคน ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากที่จะนำมาซึ่งผลกำไร

SiS จะให้ความสำคัญกับบุคคล 3 กลุ่ม คือ พนักงาน ลูกค้า และผู้ถือหุ้น ดังนั้นระยะเวลากว่า 20 ปี SiS ได้ดูแลพนักงานเป็นอย่างดี ทำให้พนักงานมีขวัญกำลังใจ มีความสุขกับการทำงาน รวมถึงในปัจจุบันก็ได้มีการจะศึกษาพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะวางนโยบายให้สอดคล้องกับยุคสมัย ทำให้พนักงานรุ่นใหม่มีความสุขในฐานะสมาชิกขององค์กร

“ถ้าพนักงานมีความสุข เขาก็ดูแลลูกค้าได้ดี เมื่อลูกค้าได้รับสิ่งดี ๆ ลูกค้าก็มีความสุข เขาก็จะเป็นลูกค้าของเราต่อไป สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการทำกำไรที่ยั่งยืน สุดท้ายผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลกำไร และเป็นผลกำไรที่ยั่งยืนด้วย”

ดังนั้น ถ้าถามถึงเป้าหมายของ SiS คืออะไร คุณสมชัยได้เน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่า SiS ไม่ได้มุ่งที่ผลกำไรเป็นอันดับแรก แต่กำไรที่เกิดขึ้นคือผลพลอยได้ ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการองค์กรที่ดี ตั้งอยู่บนหลักธรรมาภิบาล และให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคล

“ถ้าถามเรื่องผลกำไร ก็ต้องบอกว่าผลกำไรไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่เป็นผลพลอยได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำได้มาโดยตลอด”

กำไรคือผลพลอยได้จากการดูแลความสุขของลูกค้า

“ถ้าเราบอกว่า กำไรเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด ในทางอ้อมเราอาจจะกำลังสร้างแรงจูงใจให้พนักงานไปโกงหรือเอาเปรียบลูกค้าได้ เพราะพนักงานจะต้องทำทุกวิถีทางให้ลูกค้าซื้อของเรา ซึ่งสิ่งนี้ขัดแย้งกับเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเรา นั้นก็คือการทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของเรา เรามีชัดเจนในจุดนี้มาก ดังนั้น ถ้าอะไรขัดกับเรื่องนี้ เราจะไม่ทำ เรายินดีที่จะไม่ขายถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ผมจะบอกพนักงานเสมอว่า จงเลือกขายให้ถูกคน ขายแล้วให้เขาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง อย่ายัดเยียดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ให้กับลูกค้า”

“เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันเราก็คุยกันแต่เรื่องที่จะทำยังไงให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ คุยกันว่าจะช่วยลูกค้ายังไงถ้าเขามีปัญหา ซึ่งสิ่งที่เราทำอยู่นี้ไม่มีลูกค้าคนไหนไม่ชอบ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงได้รับความสนับสนุนจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด”

ยกตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์โควิด อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าถือเป็นวิกติการณ์ระดับโลกที่ส่งผลกระทบไปในทุกภาคส่วน สำหรับ SiS สิ่งแรกที่คำนึงถึง คือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้

โดยเฉพาะในช่วงของการ lock down ซึ่งห้างสรรพสินค้าหลายแห่งถูกปิด “คำสั่งอันแรกของเราเลย คือเราบอกพนักงานให้ไปเอาของคืน ถ้าลูกค้าพึ่งซื้อไปแค่ 2 อาทิตย์ เอาคืนมาให้หมดเลย เพราะถึงเอาไว้ที่ลูกค้า เขาก็ขายไม่ได้ เนื่องจากห้างมันปิด แต่ถ้าหากเป็นสินค้าที่เขาซื้อไปนานแล้ว และเขามีความต้องการจะขอคืน ก็ให้เช็คดูว่ารุ่นนี้เรายังขายได้ไหม ถ้าขายได้ให้เอาคืนมา เราทำแค่นี้ลูกค้าก็มีความสุขแล้ว ลูกค้าบางคนถามว่าทำไมเรามีนโยบายดี ๆ แบบนี้ เราบอกว่านี่ไม่ใช่นโยบาย แต่นี้เป็นแนวคิดพื้นฐานของเรา”

ความสุขของลูกค้า คือความสุขของ SiS ดังนั้น ปัญหาของลูกค้า ก็คือปัญหาที่ SiS ยินดีที่จะช่วยหาทางออกเช่นกัน

สิ่งที่อยากฝากทิ้งท้าย

สำหรับในสถานการณ์โควิดนั้น สามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 2 แบบ คือผลกระทบในแง่บวก และผลกระทบในแง่ลบ

“พวกเราทั้งหมดอยู่ในสายเทคโนโลยี ถ้าเราคิดให้ดี นี่ไม่ใช่อุปสรรค์ แต่เป็นโอกาสที่เราจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา เพราะสถานการณ์บังคับให้ทุกคนต้องหันเข้าหาเทคโนโลยี”

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเทคโนโลยีด้านระบบรักษาความปลอดภัยนั้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในสถานการณ์อันไม่ปกติ ดังนั้น ธุรกิจด้านนี้จึงค่อนข้างที่จะได้รับโอกาสในหลาย ๆ เรื่อง ถึงแม้ว่าในบางเรื่องอาจจะส่งผลกระทบบ้าง แต่ก็มีบางเรื่องที่ได้รับโอกาส ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในวงการนี้จะต้องหาให้เจอว่ามีสิ่งได้บ้างที่เราจะช่วยสังคมได้

บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
เลขที่ 9 อาคารภคินท์ ชั้นที่ 9 ห้องเลขที่ 901 ถนนรัชดาภิเษก
แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
Tel : 0-2020-3000
Fax : 0-2020-3780
E-mail : hikvision@sisthai.com