โอกาสทองของ 3 นวัตกรรมเด่น เน้นตอบรับความต้องการใหม่ของผู้บริโภคที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

Share

Loading

ในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการหลายรายพยายามที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยากลำบาก เพื่อให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤตอันหนักหนาสาหัสสากรรจ์นี้ แต่กลับมีผู้ประกอบการบางรายที่ธุรกิจไปได้สวยด้วยยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ความกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยจากไวรัสร้ายที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ความหวั่นเกรงว่าจะติดเชื้อจากโรคอุบัติใหม่ของผู้บริโภค เร่งเร้าผลประกอบการของ 3 บริษัท ผู้ผลิต 3 นวัตกรรมเด่นต่อไปนี้ให้เติบโตอย่างเร้าใจ

1. Surfacide
ระบบฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวอัตโนมัติ

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2020 ที่ผ่านมา Gunner Lyslo นักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Surfacide ซึ่งมีฐานบัญชาการอยู่ที่วิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อว่ารัฐบาลจีนจะไม่สามารถควบคุมไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ได้ ซึ่งช่วงนั้น Lyslo กำลังระดมสรรพกำลังในการผลิต Surfacide ซึ่งเป็นระบบฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวอัตโนมัติของเขาเพื่อรับมือกับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2020 Lyslo ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตเทคโนโลยีของ Surfacide โดยเขาคาดว่าจะมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากโรงพยาบาลซึ่งจะต้องใช้เครื่องมือฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น เมื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในสหรัฐอเมริกา

การเดิมพันนี้นำความสำเร็จครั้งใหญ่มาให้เขา เมื่อรายรับของ Surfacide ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2020 มีเป็นกอบเป็นกำ โดยเพิ่มขึ้นถึง 520% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันนี้ของปีก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งมาจากการจำหน่ายเพิ่มขึ้นในต่างประเทศ

“ก่อนหน้านี้เราไม่มีตลาดอื่นใดเลยนอกเหนือจากตลาดสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล จนกระทั่งเกิดการระบาดใหญ่นี้ขึ้น ตอนนี้เราเห็นยอดคำสั่งซื้อที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างมหาศาล โดยเฉพาะจากธุรกิจที่มีพนักงานจำนวนมาก หรือธุรกิจ/สถานที่ ซึ่งมาตรการ Social Distancing กลายเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ”

เกือบ 10 ปีที่ Surfacide มีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ณ วันนี้ ที่สถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกยังไม่บรรเทาเบาบางลง ตลาดของบริษัทฯ กลับเปิดกว้างยิ่งกว่าเคย กว้างกว่าเดิมมากจริงๆ

2. SaniGirl
โถปัสสาวะหญิงพกพาแบบใช้แล้วทิ้ง

เมื่อ Susan Thompson เปิดตัว SaniGirl โถปัสสาวะหญิงพกพาแบบใช้แล้วทิ้ง และรีไซเคิลได้ 100% ของเธอในปี 2019 เธอวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นเครื่องมือ/อุปกรณ์ที่ถูกสุขอนามัยสำหรับนักตั้งแคมป์และนักเดินทางไกล ลูกค้าของเธอส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง และผู้เข้าร่วมงานเทศกาลดนตรีที่การเบียดเสียดกับผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่มีจำนวนจำกัดเป็นเรื่องยากลำบาก

หลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นเหตุให้ผู้จัดงานต้องเลื่อนการเฉลิมฉลองและอีเวนท์ต่างๆ ออกไป และนั่นส่งผลต่อยอดขายของ SaniGirl ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2020 ลดลงประมาณ 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เธอจึงต้องมองหาโอกาสใหม่แทนที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ด้วยการเริ่มมุ่งเน้นไปที่ผู้หญิงที่ไม่ต้องการใช้หรือไม่สามารถใช้ห้องน้ำสาธารณะในชีวิตประจำวันแทน ซึ่งนับวันจะยิ่งมีมากขึ้นจากการความกังวลและหวาดกลัวในความไม่สะอาดของห้องน้ำที่ต้องใช้ร่วมกับคนจำนวนมาก พร้อมกับดัดแปลงกลยุทธ์การตลาดบนโซเชียล มีเดีย, อเมซอน และเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์ โดยจำหน่ายสินค้านี้ในราคาแพ็คละ 8.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 280 บาท (1 แพ็ค มี 10 ชิ้น) เพื่อที่จะพยุงธุรกิจของเธอไว้ให้อยู่รอดต่อไป

“ผู้หญิงกำลังมองหาทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรคและป้องกันตัวเองเมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านฉันจึงรีเซ็ตทุกสิ่งเพื่อให้รองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้หญิงเหล่านี้ีที่จะกลายเป็นวิถีปฏิบัติใหม่หลัง COVID-19”

หากเธอมัวแต่เฝ้ารอที่จะพึ่งพาตลาดเดิมๆ ตลาดของผู้หญิงที่โปรดปรานกิจกรรมเอาท์ดอร์และคนรักเทศกาลดนตรีซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งเมื่อไหร่ ป่านนี้เธอคงไม่รู้ว่าเธอสามารถทำยอดขายจากสินค้าเดิมที่มีอยู่นี้ได้ ด้วยเวลาเพียงแค่ 2 เดือน เท่ากับยอดขายปีที่แล้วทั้งปี

3. Proxy
เทคโนโลยีไร้สัมผัส

นี่เป็นเทคโนโลยีแบบไร้การสัมผัสที่ช่วยให้ผู้ใช้เปิดประตู ปลดล็อคสำนักงาน และกดลิฟต์ด้วยสัญญาณเฉพาะที่ส่งตรงจากสมาร์ทโฟน พัฒนาโดย Denis Mars ร่วมกับ Simon Ratner พวกเขาเปิดตัว Proxy ในปี 2559 และจำหน่ายให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่นำระบบนี้ไปติดตั้งในสำนักงานขนาดใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมาก

ล่าสุด COVID-19 เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ยอดขายของ Proxy เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเนื่องจากธุรกิจทั้งหลายต่างมองหาวิธีลดการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และเทคโนโลยีที่ไม่ต้องทำให้เกิดการสัมผัสแต่ใช้งานในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นเคยนั้นย่อมเป็นตัวเลือกสำคัญ

“COVID-19 ทำให้รู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกสามหรือสี่ปี มาอยู่ตรงหน้าเราในตอนนี้”

ทั้งนี้ บริการอ่านค่าข้อมูลต่างๆ แบบไร้การสัมผัสของ Proxy ซึ่งสนับสนุนผู้ใช้งานไม่จำกัด มีสนนราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ราว 1,500 บาท) และเครื่องอ่านมีราคาตั้งแต่ 199-249 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,230-7,798 บาท)

Proxy มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา มีพนักงานประมาณ 70 คน และเพิ่งระดมทุนซีรีส์บีได้จำนวน 58.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,840 ล้านบาท) เมื่อเดือนมีนาคม 2020

ถ้าไม่ดีเด่นพอ คงไม่ได้รับการคัดเลือกจาก Fast Company ให้เป็นหนึ่งใน Most Innovative Companies of 2020

ขอขอบคุณแหล่งที่มา :

https://www.salika.co/2020/07/10/innovation-post-covid19-fear-consumers/